เลเซอร์รอยสิว หน้าใสไร้สิว ไม่ทิ้งร่องรอยจุดด่างดำ

เลเซอร์รอยสิว

สิวนับเป็นปัญหาหนักใจของคนทุกเพศ ทุกวัยตลอดมา จากสิวเม็ดเล็กๆ กลายเป็นรอยแดง และรอยดำ ซึ่งบางคนรอยสิวไม่จางหายไปอย่างที่ควรจะเป็น บางคนกว่าร่องรอยจะหายต้องใช้เวลานาน หรือบางคนรอยสิวไม่หายกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่บนใบหน้าไปอีกหลายปี

แม้ที่ผ่านมาจะมีวิธีเร่งให้รอยสิวหายเร็วขึ้น เช่น การรับประทานยาหรือวิตามินที่ช่วยลดรอยสิว การทำทรีตเมนต์ผิวหน้าเพื่อผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ (AHA / BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง หรือการกำจัดรอยสิวด้วยผลไม้หรือสมุนไพร เช่น มะนาว น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ มะขามเปียก เป็นต้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจใช้เวลานาน

Slimup2u จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเลเซอร์รอยสิว ซึ่งเป็นวิธีการรักษารอยสิวที่มีประสิทธิภาพสูงมาฝากกัน เพราะการเลเซอร์รอยสิวให้ผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว นอกจากจะทำให้ร่องรอยสิวจางหายรวดเร็วแล้ว ยังทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใสได้ทันใจอีกด้วย

ทำความรู้จัก เลเซอร์รอยสิว คืออะไร

เลเซอร์รอยสิว คือ การแก้ปัญหารอยสิวด้วยพลังงานแสงเลเซอร์เข้มข้นสูง และใช้ช่วงความถี่ที่เหมาะสม โดยยิงลำแสงเลเซอร์ลงไปบนผิวหนังที่ต้องการลบรอยสิว เพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอกที่มีรอยดำหรือรอยแดงให้จางลง และกระตุ้นผิวหนังให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนบนใบหน้า และส่งผลให้ผิวแลดูเรียบเนียนใสขึ้น

สาเหตุของการเกิดรอยสิว

รอยสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากการเป็นสิว ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ใบหน้าของเราเกิดสิวอักเสบ หรือสิวอุดตันผุดขึ้นมา ก็จะส่งผลให้ผิวหนังของเราเกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาค่ะ จึงทำให้ภายหลังจากการหายเป็นสิวแล้ว จะปรากฏเป็นรอยแผลเป็นในลักษณะต่าง ๆ บนใบหน้านั่นเอง

โดยทั่วไปรอยสิวมี 2 ชนิดหลักๆ ดังนี้

  • รอยสิวแดง (Post-Inflammatory Erythema: PIE) คือ รอยจุดสีชมพูถึงแดงหลังการเกิดสิว พบในผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาวหรือผู้ที่ผิวบาง เกิดจากการอักเสบของสิวจากการบีบ แคะ แกะสิว จนเกิดอาการบวมช้ำ ทำให้มีเส้นเลือดฝอยคั่งบริเวณจุดอักเสบมาก ซึ่งหลังการอักเสบหายก็ยังเหลือร่องรอยการอักเสบ บวม และการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยชัดเจน ส่วนใหญ่ถ้าเราปล่อยให้สิวหายเองโดยไม่แกะ จะเกิดเป็นรอยแดงสิวมากกว่าเป็นรอยดำสิว
  • รอยสิวดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation: PIH) คือ รอยจุดสีน้ำตาลถึงสีดำหลังการเกิดสิว พบในผู้ที่มีสีผิวค่อนไปทางเข้มเพราะผิวมีการผลิตเม็ดสีมากกว่าผู้ที่มีผิวขาว รอยดำเกิดขึ้นหลังการอักเสบจากการแกะ บีบสิว แล้วโดนแสงแดดมาก ผิวหนังจึงถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ผลิตเม็ดสี (Melanin) ออกมามากขึ้น ทำให้เกิดเป็นร่องรอยคล้ำ หรือดำ ปรากฎเด่นชัด กลุ่มหนึ่งที่พบรอยดำสิวบ่อยๆ ก็คือท่านที่เป็นสิวอักเสบหนักๆ พอสิวหายแล้วก็มีรอยแดงสิวค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ได้รักษา ปล่อยไว้นานเข้ารอยแดงพวกนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นรอยดำได้เช่นเดียวกันครับ ซึ่งรอยจะมีสีเข้มหรือจาง ใหญ่หรือเล็กก็ขึ้นกับความรุนแรงของการอักเสบนั่นเอง บางท่านเป็นรอยดำค่อนข้างเยอะก็ทำให้เสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว
เลเซอร์รอยสิว

ทำไมต้องเลเซอร์ลบรอยสิว

เลเซอร์ลบรอยสิว เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่อาศัยเครื่องมือด้านการรักษาด้วยเทคโนโลยีการเลเซอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติเน้นการรักษารอยสิวโดยเฉพาะ มีประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อลบรอยสิวที่ขึ้นชื่อว่าหายยาก ปกติเราจะพบรอยดำและรอยแดงตามมาเกือบทุกครั้ง

และการรักษารอยสิวบางครั้งต้องใช้เวลาในการบำรุงรักษาและดูแลเป็นเวลานานกว่ารอยสิวจะจางหายไป แต่เมื่อมีเทคโนโลยี เลเซอร์ลบรอยสิว ก็สามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะสามารถช่วยให้รอยดำ รอยแดงจากสิวดีขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการช่วยลดเลือนริ้วรอยจากสาเหตุอื่น ๆ ส่งผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนกว่าวัย

เลเซอร์รอยสิว มีกี่แบบ และแตกต่างกันอย่างไร

เครื่องเลเซอร์รอยสิวส่วนมากใช้รักษาสิวได้ทุกชนิด ขึ้นอยู่กับการเลือกความถี่ที่เหมาะสมกับชนิดของสิว ซึ่งประเภทเลเซอร์รอยสิว มีดังนี้

  • Intense Pulsed Light: IPL) เป็นเลเซอร์แก้ปัญหาผิว โดยใช้แสงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยรักษารอยแดง รอยดำจากสิว ด้วยการทำลายเม็ดสีผิวที่มีความเข้ม แล้วกระตุ้นสีผิวกลับเป็นสีปกติ
  • Fraxel Dual Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นแตกต่างกันสองชนิด คือ ความยาวคลื่น 1550 นาโนเมตร และ 1927 นาโนเมตร โดยเลเซอร์ความยาวคลื่น 1550 นาโนเมตร จะใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิว ส่วนเลเซอร์ความยาวคลื่น 1927 นาโนเมตร จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยลดรอยแผล รอยแดง รอยดำจากสิว และทำให้แผลจากหลุมสิวตื้นขึ้น
  • Fractional Laser เป็นวิธีรักษาผิวทีละส่วนด้วยการใช้เลเซอร์อนุภาคลำแสงขนาดเล็กมากเจาะลึกลงไปใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวหนังที่แข็งแรงขึ้นมาช่วยแก้ปัญหาหลุมสิว หลุมแผลเป็น และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • Puled Dye Laser: PDL) หรือ V-Beam Laser เป็นวิธีที่ช่วยให้เกิดการจัดเรียงของเส้นเลือดใต้ผิวใหม่ แก้ไขปัญหาเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า ลดริ้วรอยและจุดด่างดำ แต่ในด้านของรอยดำจะไม่ค่อยมีประสิทธิผลสักเท่าไร รอยแดงจากสิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้รู้ขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • Fractional CO2 Laser เป็นวิธีรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียนใสขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำจากสิวจางลง และช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • PhotoDynamic therapy: PDT) เป็นวิธีที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ทำให้รูขุมขนดูกระชับ ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ รอยแดง และรอยดำจากสิว ทำให้ผิวหน้าใสเรียบเนียนขึ้น
  • Q-switch laser เป็นเลเซอร์ที่มีความสามารถในการจับเม็ดสีดำ หรือ เมลานิน (Melanin) เหมาะกับรอยดำสิว โดยเฉพาะรอยดำที่เกิดหลังจากการอักเสบจะได้ผลดีกว่าตัวอื่น ปล่อยพลังงานแสงออกมาเพื่อทำให้เซลล์เม็ดสีแตกตัว หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะดูดซึม หรือย่อยสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ และจะถูกกำจัดโดยการขับเป็นของเสียออกจากร่างกายโดยไม่เกิดผลข้างเคียง ทำให้รอยดำสิวจางลงได้เร็ว แต่ในด้านของรอยแดงจะได้ผลน้อยกว่า V-beam laser
  • Dual Yellow Laser นวัตกรรมเลเซอร์หน้าใสที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าอย่างครบวงจร ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหน้าหมองคล้ำไม่กระจ่างใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ หลุมสิว เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีการพัฒนามากขึ้นเพื่อการรักษาที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยมีแสงเลเซอร์ออกมา 2 ชนิด ได้แก่ แสงสีเหลือง ที่มีความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร ที่เหมาะสำหรับการรักษารอยโรคต่าง ๆ ที่มีสีแดง เช่น ปานแดง รอยแผลเป็นสีแดง และแสงสีเขียว ความยาวคลื่นที่ 511 นาโนเมตร เหมาะกับการรักษาปัญหาที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ เมื่อรวมพลังงานแสงเลเซอร์ของทั้งสองสีเข้าด้วยกัน จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะได้เลเซอร์ที่มีพลังงานสูงมากพอที่จะกำจัดตุ่มเนื้องอกบางชนิดได้ เช่น ติ่งเนื้อ ไฝ เนื้องอกใต้ตา ลดการกระตุ้นเส้นเลือดเป็นปัจจัยในการเกิดฝ้า ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า กระ ต่าง ๆ มากขึ้น

ความแตกต่างเลเซอร์รอยสิว ระหว่าง Dual Yellow และ Q-Switch

  • Dual Yellow หลังทำจะเห็นผลรอยดำ รอยแดงลดลดชัดเจนกว่า Q-Switch รวมถึงจำนวนครั้งในการทำน้อยกว่า Q-Switch ด้วย
  • ความรู้สึกขณะทำ Dual Yellow มีความอ่อนโยนกว่า ไม่จำเป็นต้องแปะยาชา และไม่มีรอยตกสะเก็ดหลังการทำเลเซอร์ ฟื้นตัวไวกว่า ในขณะที่ Q-Switch จะรู้สึกถึงความร้อนและดีดๆขณะทำ ใบหน้าจะแดงหลังการทำต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า
  • Dual Yellow กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวทำให้ผิวแข็งแรงและฆ่าเชื้อบนผิวลดการเกิดสิวใหม่ในอนาคต แต่ Q-Switch ไม่มีส่วนในการกระตุ้นคอลลาเจน
  • Dual Yellow สามารถทำขณะที่เป็นสิวได้(กดสิวก่อน) แต่ Q-Switch ไม่สามารถทำในขณะที่เป็นสิวได้เพราะจะทำให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบมากกว่าเดิม
  • สรุป Dual Yellow เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ลดรอยแดง รอยดำจากสิวได้ดีกว่า Q-Switch รวมถึงกระตุ้นคอลลาเจนและลดการเกิดสิวใหม่ได้
เลเซอร์รอยสิว

ความแตกต่างเลเซอร์รอยสิว ระหว่าง Dual Yellow และ IPL

  • Dual Yellow กำจัดรอยดำ รอยแดงได้ชัดเจนและได้ผลลัพธ์ดีกว่ากว่าในคนไข้ผิวสองสี
  • Dual Yellow เป็นเลเซอร์ที่สามารถปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้
  • ความรู้สึกขณะทำทั้ง Dual Yellow และ IPL จะรู้สึกแค่อุ่นๆและมีรอยแดงหลังทำเกิดขึ้นได้ แต่ไม่เกิดการตกสะเก็ดหรือทิ้งรอยแดงช้ำไว้นาน ทั้งสองเลเซอร์นี้เป็นเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนด้วยกันทั้งคู่
  • สรุป หากเทียบประสิทธิภาพในการรักษารอยดำ รอยแดง ที่เกิดจากสิว การทำ IPL จะต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6-10 ครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ในขณะที่การทำ Dual Yellow สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลยหลังการทำครั้งแรกและทำต่อเนื่องเพียง 2-3 ครั้งเพื่อให้รอยดำหายไป

เลเซอร์รอยสิว ที่นิยมมีกี่แบบ

เลเซอร์รอยสิวที่เป็นที่นิยม แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้

  1. เลเซอร์ผลัดเซลล์ผิว (Ablative Laser resurfacing) คือ เลเซอร์ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์หรืออาจใช้การเลเซอร์ด้วยลำแสงที่มีความเข้มข้นสูง (YAG laser) เพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นบน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวลึก การทำเลเซอร์ชนิดนี้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังทำนาน แต่แลกกับผลลัพธ์ที่เห็นผลชัดเจน
  2. เลเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวลอก (Non-Ablative Laser Resurfacing) คือ เลเซอร์ด้วยแสงอินฟาเรดที่เจาะลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนรอยสิวที่หายไป เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้เวลาในการรักษาตัวหลังการทำน้อยกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดแรก ต้องทำหลายครั้งจึงจะรักษาจนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  3. เลเซอร์ที่ทำให้ผิวลอกเฉพาะส่วน (Fractionated Laser Resurfacing) คือ เลเซอร์แบบลอกผิวทีละส่วน เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อใต้ผิวบริเวณอื่นๆ ถูกรบกวน โดยวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดของผิวหนัง เพื่อให้รอยสิวดูจางลง

ใครที่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิว

การเลเซอร์รอยสิว คือ การใช้พลังงานคลื่นแสงเข้าไปทำลายเม็ดสีให้แตกละเอียด เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดเม็ดสีออกไปได้ง่ายขึ้น โดยผู้ที่เหมาะกับการรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์ ได้แก่

  • ผู้ที่ต้องการลบรอยสิวบนใบหน้าให้หายไป และเรียบเนียนกระจ่างใสขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยแผลเป็น หรือร่องลึกจากสิว ให้ลดเลือนและจางลง
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนมากขึ้น ภายหลังการมีสิว
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวพรรณเกี่ยวกับริ้วรอยหมองคล้ำ อาการไหม้ ผิวหนังหย่อนคล้อยจากสิว เลเซอร์จะช่วยปรับสภาพผิว และช่วยลบร่องรอยที่เป็นปัญหาออกไป
  • ผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
  • ผู้ที่ไม่เคยรับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่ใบหน้า
  • ผู้ที่ไม่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
เลเซอร์รอยสิว

เตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์รอยสิว

  • หลีกเลี่ยงจากแสงแดดก่อนทำเลเซอร์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA/BHA
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • งดรับประทานยาแอสไพรินหรืออาหารเสริมก่อนการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ หากต้องใช้ยารักษาโรค ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำเลเซอร์
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของเรตินอลและกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์
  • หมั่นทาครีมกันแดดอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ก่อนทำเลเซอร์
  • กรณีผู้ที่เป็นเริมมาก่อน ควรรับประทานยาเพื่อป้องกันเริมกลับมา

ขั้นตอนการทำเลเซอร์รอยสิว มีอะไรบ้าง

ขั้นตอนและเวลาที่ใช้ในการเลเซอร์สิวจะขึ้นอยู่กับ ปัญหาของผู้รับบริการว่ามีจำนวนและปริมาณร่องรอยมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงประเภทของเลเซอร์ และประสิทธิภาพของเครื่องที่ใช้ แต่โดยทั่วไป การเลเซอร์รอยสิว มีขั้นตอนดังนี้

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าและล้างเครื่องสำอางออกให้หมด ก่อนทำเลเซอร์
  2. ใช้เจลประคบเย็น บางกรณีอาจใช้ยาชาทาบนหัวสิวก่อนประมาณ 45 นาที เพื่อให้รู้สึกสบายและไม่เจ็บระหว่างทำ
  3. แพทย์ยิงเลเซอร์ไปยังบริเวณที่เป็นรอย และหากมีหัวสิวจะเปิดหัวสิวก่อนการยิงเลเซอร์ ลำแสงจากเลเซอร์จะทำให้ ผิวหนังที่หุ้มหัวสิวอยู่เกิดเป็นรูเล็กๆ เพื่อจะกดเอาก้อนไขมันที่อยู่ข้างใต้ออกมาโดยใช้อุปกรณ์กดสิว โดยขั้นตอนการ ยิงเลเซอร์จะใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
  4. แพทย์แนะนำการดูแลตัวเองหลังการเลเซอร์
เลเซอร์รอยสิว

เมื่อทำเลเซอร์รอยสิว ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

โดยการเลเซอร์สิวอุดตันจะมีสะเก็ดหลุดออกมาภายใน 3 – 7 วัน ซึ่งสะเก็ดจะหลุดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิวมันสะเก็ดจะหลุดเร็วกว่าสภาพผิวแห้ง หรือการทาครีม ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ช่วยให้สะเก็ดหลุดเร็วขึ้น เป็นต้น เมื่อสะเก็ดหลุดอาจทำให้ผิวบริเวณนั้นมีรอยแดง หรือดำเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อโดนแดด ดังนั้นหลังทำเลเซอร์ถึงช่วงสะเก็ดหลุดใหม่ๆ ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด และควรทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพเป็นประจำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ และภายหลังเลเซอร์สิว ควรดูแลตัวเอง ดังนี้

  • งดล้างหน้าหรือระวังไม่ให้หน้าโดนน้ำภายใน 24 ชั่วโมงแรก
  • กรณีมีการเจาะหัวสิวหลายๆ จุด และมีรอยแดงหรือการระคายเคือง ให้งดทายาสิวบางตัวที่แพทย์แนะนำ ให้รับประทานยาแก้อักเสบแทน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดใช้เครื่องสำอางประมาณ 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของน้ำมันประมาณ 2-3 เดือน เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขน
  • ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การแกะเกา การสครับผิว หลังเลเซอร์จนกว่าร่องรอยจะหายไป
  • ทาครีมบำรุงผิว หรือ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและป้องกันการเกิดสะเก็ดหลังเลเซอร์สิว
  • ทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การแกะเกา การสครับผิว เป็นต้น

เลเซอร์รอยสิวกับคำถามที่พบบ่อย